นโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับพันธมิตรทางธุรกิจ

ประกาศและมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565

บริษัท นำศิลปไทย จำกัด (“บริษัท”) ขอแจ้งนโยบายเพื่อความเป็นส่วนตัวต่อพันธมิตรทางธุรกิจฉบับนี้ เพื่ออธิบายถึงการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านหรือบุคคลในองค์กรของท่าน ไม่ว่าจะเป็น พนักงาน บุคคลที่มีอำนาจลงนาม ผู้ถือหุ้น กรรมการ และ/หรือผู้ประสานงานอื่น ๆ ของท่านหรือองค์กรของท่าน (“ท่าน”) ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

ทั้งนี้ บริษัทอาจแก้ไขนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้เป็นไปตามการดำเนินธุรกิจที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของนโยบายใด ๆ จะมีผลทันทีเมื่อบริษัทเผยแพร่นโยบายความเป็นส่วนตัวที่แก้ไขดังกล่าวลงในเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือช่องทางสื่อสารอื่น ๆ ของบริษัท เว้นแต่เป็นกรณีที่บริษัทเห็นว่าจะต้องเลื่อนการบังคับใช้นโยบาย บริษัทจะพิจารณากำหนดวันบังคับใช้นโยบายล่วงหน้าไว้ในเอกสารฉบับนี้ โปรดศึกษานโยบายฉบับนี้และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหากท่านมีข้อสงสัยประการใด ผ่านช่องทางที่บริษัทจัดไว้ให้ตามที่ระบุในเอกสารฉบับนี้

1. ข้อมูลส่วนบุคคลบริษัทเก็บรวบรวม

บริษัทเก็บรวบรวมหรือรับข้อมูลที่อาจระบุตัวบุคคลได้ โดยสามารถจำแนกเป็นประเภทได้ ดังต่อไปนี้  

  • ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล อายุ วันเกิด เพศ สัญชาติ รูปถ่าย วุฒิการศึกษา คุณสมบัติ ข้อมูลประกันภัย ทะเบียนบ้าน ข้อมูลที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพ เช่น ตำแหน่งงาน สถานที่ทำงาน) ข้อมูลบนบัตรที่ออกโดยรัฐบาล (เช่น เลขประจำตัวประชาชน เลขหนังสือเดินทาง) ลายมือชื่อ ใบอนุญาต หรือเอกสารที่ใช้ในการระบุตัวตนอื่น ๆ 
  • ข้อมูลเพื่อการติดต่อ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ทางไปรษณีย์ ข้อมูลการจัดส่งสินค้า หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ข้อมูลโซเชียลมีเดีย (เช่น ไลน์ไอดี (Line ID) บัญชีผู้ใช้ Facebook และ/หรือ Google เป็นต้น) รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ประสานงาน 
  • ข้อมูลการเงินและการทำธุรกรรม เช่น บัญชีธนาคาร สมุดเงินฝาก รายการเดินบัญชี สถานภาพบัญชี หนังสือค้ำประกันจากสถาบันการเงิน และ/หรือข้อมูลทางการเงินอื่น ๆ รวมถึงข้อมูลของสัญญาที่ปรากฏบนเอกสารโต้ตอบอื่น ๆ เช่น จดหมายที่บริษัทได้สื่อสารไปถึงท่าน 
  • ข้อมูลอื่น ๆ เช่น ข้อมูลที่ท่านให้แก่บริษัทในสัญญา แบบฟอร์มต่าง ๆ หรือในเอกสารใด ๆ ที่มีขึ้นระหว่างบริษัทกับท่าน

หากท่านได้ให้ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่สามแก่บริษัท เช่น ชื่อ และหมายเลขโทรศัพท์เพื่อการติดต่อในกรณีฉุกเฉิน กรุณาแจ้งบุคคลเหล่านั้นให้ทราบถึงนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ของบริษัท ทั้งนี้ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บนั้น อาจเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของความสัมพันธ์ที่บริษัทมีกับท่านตามวัตถุประสงค์ของการใช้ข้อมูลในนโยบายฉบับนี้

2. วัตถุประสงค์การใช้ข้อมูลของบริษัท

บริษัทขอแจกแจงวัตถุประสงค์และมูลเหตุตามกฎหมายในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท ตามสถานการณ์ดังต่อไปนี้

วัตถุประสงค์การใช้ข้อมูล
สิทธิตามตามกฎหมายที่บริษัทใช้
การติดต่อสื่อสารและการดำเนินการทางธุรกิจ (เช่น การติดต่อซื้อขายตามกิจการทางธุรกิจ การเปิดหน้าบัญชี การดำเนินการตามธุรกรรมระหว่างบริษัทกับท่าน  การจัดการฝึกอบรม การจัดการด้านการบัญชี การขอรับชำระเงิน การรับประกัน การจัดส่งสินค้า การสนับสนุนในการให้บริการ และการบันทึกและติดตามข้อมูลที่จัดเก็บไว้  เพื่อปฏิบัติตามสัญญาระหว่างบริษัทกับท่าน
การยืนยันตัวตนท่าน (เช่น เพื่อการลงทะเบียน หรือพิสูจน์ตัวตน ว่าท่านเป็นบุคคลที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้รับบริการหรือใช้สิทธิตามกฎหมายกับบริษัท เป็นต้น)  เพื่อปฏิบัติตามสัญญาระหว่างบริษัทกับท่าน
การติดต่อทางการตลาดผ่านช่องทางต่าง ๆ (เช่น การติดต่อเพื่อโฆษณาสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ของบริษัท เป็นต้น เพื่อปฏิบัติตามสัญญาระหว่างบริษัทกับท่าน
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ (เช่น การจัดทำรายงานภาพรวมของธุรกิจโดยไม่ระบุชื่อบุคคล การวัดผลประสิทธิภาพของการประกอบธุรกิจของบริษัทเป็นต้น) เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท
การปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย (เช่น การดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย หรือคำสั่งของหน่วยงานรัฐหรือให้ความร่วมมือในการพิจารณาพิพากษาคดี รวมถึงออกใบกำกับภาษีเปิดเผยข้อมูลแก่หน่วยงานที่มีอำนาจในการจัดเก็บภาษี รวมถึงเปิดเผยข้อมูลเพื่อการสืบสวนสอบสวนหรือป้องกันการกระทำอันผิดกฎหมาย เป็นต้น) เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ เพื่อประโยชน์สาธารณะ
การปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท (เช่น การตรวจสอบ ป้องกัน และตอบโต้การทุจริต การก่อสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการกระทำอันผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันความเสียหายแก่ทรัพย์สินและความน่าเชื่อถือของบริษัท เป็นต้น) เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท

3. บุคคลภายนอกที่อาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบริษัท

บริษัทไม่มีนโยบายในการเปิดเผย หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลภายนอกแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่จำเป็น บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อมูลเหตุที่เฉพาะเจาะจงไปยังบุคคลดังต่อไปนี้

  • บริษัทอื่น ๆ ในเครือ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนการดำเนินกิจการของบริษัท
  • ผู้ให้บริการของบริษัท เช่น บริษัทขนส่ง โรงพิมพ์ ผู้รับจ้างเป็นศูนย์ให้บริการลูกค้า ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูล ตัวแทนขาย หน่วยงานรับจ้างจัดงานเกี่ยวกับการโฆษณาและการตลาด ผู้ให้บริการระบบหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงผู้ให้บริการระบบ Cloud Computing ทั้งนี้ เป็นไปเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการกับท่าน เป็นต้น

  • ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Google หรือ Instagram เป็นต้น
  • พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น แพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) หรือแพลตฟอร์มใด ๆ ซึ่งบริษัทอาจเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการบนพื้นที่เหล่านั้น เป็นต้น
  • หน่วยงานภาครัฐ เช่น หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ศาลยุติธรรม หน่วยงานของรัฐ หรือบุคคลภายนอกอื่น ๆ ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการต่อเมื่อบริษัทเชื่อว่ามีความจำเป็นจะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมาย หรือเพื่อการปกป้องสิทธิของบริษัท หรือสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลอื่น เป็นต้น
  • ที่ปรึกษาของบริษัท เช่น ทนายความ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ผู้ตรวจสอบบัญชี หรือ ผู้เชี่ยวชาญประเภทอื่น เพื่อการดำเนินธุรกิจ หรือการรักษาผลประโยชน์ของบริษัท หรือบุคคลภายนอกที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นต้น
  • ผู้รับโอนสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมาย เช่น ในกรณีที่มีการปรับโครงสร้างของบริษัท การควบรวม การโอนกิจการ เป็นต้น

ในกรณีที่บุคคลเหล่านี้ดำเนินการหรือให้บริการในนามของบริษัท บริษัทจะควบคุมการใช้ข้อมูลของท่านเท่าที่จำเป็นและตามที่บุคคลภายนอกได้รับมอบหมายจากบริษัทเท่านั้น พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขการรักษาข้อมูลให้ปลอดภัยผ่านเงื่อนไขของสัญญาการประมวลผลข้อมูลและ/หรือการประเมินความปลอดภายในการให้บริการบนข้อมูลอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิในการใช้ข้อมูลของท่านด้วยตนเอง บริษัทอาจไม่สามารถควบคุมการใช้ข้อมูลของบุคคลเหล่านั้นได้ จึงโปรดศึกษานโยบายความเป็นส่วนตัวของบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาวิธีการที่บุคคลภายนอกดังกล่าวเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไป

4. การเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ไร้ความสามารถตามกฎหมาย

บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้เยาว์ เพื่อให้บริการตามปรกติของบริษัท อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บริษัทตรวจพบว่าได้เก็บหรือใช้ข้อมูลของบุคคลลักษณะข้างต้นในการที่ไม่อาจกระทำได้บนฐานทางกฎหมายอื่น ๆ นอกเหนือจากการขอความยินยอม หรือเป็นการยินยอมที่ไม่มีผลทางกฎหมายก็ตาม บริษัทจะพิจารณาหยุดการประมวลผลนั้นในทันที

5. ระยะเวลาในการที่บริษัทเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระเบียบภายในของบริษัทอย่างเคร่งครัดตามระยะเวลาที่เหมาะสมอันจะไม่เกินหลักการของวิชาชีพกฎหมาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นระยะเวลาการฟ้องร้องคดี หลังจากนั้น บริษัทจะลบข้อมูลดังกล่าว หรือ ทำให้ข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับท่านในอนาคต

6. ความปลอดภัยของข้อมูล

บริษัทจะพยายามปกป้องข้อมูลของท่านอย่างอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลของท่านสูญหาย ถูกเข้าถึง ทำลาย ใช้ แปลง แก้ไข หรือเปิดเผย โดยไม่มีสิทธิหรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยบริษัทได้ดำเนินการวางมาตรการเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล อันจะยกตัวอย่างได้ ดังนี้ (1) ระบบคอมพิวเตอร์ที่ได้มาตรฐาน ลิขสิทธิ์ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และรองรับการ patch ความปลอดภัยที่เหมาะสม (2) ระบบป้องกันไวรัสระดับองค์กร (Enterprise-grade antivirus program) (3) ระบบ Multi-factor authentication เพื่อยืนยันตัวตนผู้มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลผ่านหลายขั้นตอน (Multi-factor authentication) สำหรับระบบที่มีข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลลูกค้า เป็นต้น (4) ระบบ Active Directory เพื่อควบคุมสิทธิการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของพนักงาน และถอนสิทธิเมื่อบุคคลสิ้นสภาพพนักงาน (5) มาตรการความปลอดภัยทางกายภาพ เช่น ระบบยืนยันตัวตนก่อนเข้าพื้นที่เก็บข้อมูล เป็นต้น และ (6) มาตรการอื่น ๆ ตามนโยบายการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของบริษัท

7. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ข้อยกเว้นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด ท่านอาจมีสิทธิในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลดังต่อไปนี้

  • สิทธิการเข้าถึง ท่านอาจมีสิทธิในการขอเข้าถึงหรือขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลของท่าน

  • สิทธิการการแก้ไขข้อมูล ท่านอาจมีสิทธิขอให้มีการดำเนินการแก้ไขข้อมูลของท่านที่บริษัทได้เก็บรวบรวมไว้ ให้ถูกต้อง สมบูรณ์ และเป็นปัจจุบัน 
  • สิทธิการโอนย้ายข้อมูล ท่านอาจมีสิทธิขอรับข้อมูลของท่านท่านในรูปแบบที่มีการจัดระเบียบแล้วและสามารถอ่านได้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเพื่อส่งหรือโอนข้อมูลดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวต้องเป็น (1) ข้อมูลของท่านที่ท่านได้ให้กับบริษัท และ/หรือ (2) กรณีที่บริษัทได้รับความยินยอมจากท่านในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยหรือเพื่อปฏิบัติตามสัญญาที่บริษัทมีกับท่าน 
  • สิทธิการการคัดค้านการประมวลผลข้อมูล ท่านอาจมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลของท่านในบางกรณี 
  • สิทธิการขอให้ระงับการประมวลผลข้อมูล ท่านอาจมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลของท่านในบางกรณี 
  • สิทธิการถอนความยินยอม: สำหรับวัตถุประสงค์ที่บริษัทขอความยินยอมจากท่านก่อนการดำเนินการ ท่านสามารถถอนความยินยอมเหล่านั้นได้ อันเป็นผลให้บริษัทหยุดการดำเนินการที่ต้องอาศัยความยินยอมจากท่าน 
  • สิทธิการลบข้อมูล: ท่านอาจมีสิทธิขอให้บริษัทดำเนินการลบข้อมูล หรือทำให้ข้อมูลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ ตามที่บริษัทกำหนด ทั้งนี้ บริษัทจะพิจารณาลบข้อมูลให้ท่านตามความเหมาะสมต่อไป และอาจยังคงเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้เพื่อวัตถุประสงค์ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท เช่น เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเพื่อรักษาประโยชน์โดยชอบของบริษัทหรือบุคคลภายนอกตามกฎหมาย  

ทั้งนี้ เพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนที่จะดำเนินการตามคำขอใช้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมายข้างต้น 

นอกจากนี้ เนื่องจากสิทธิบางประการมีเงื่อนไขตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เคร่งครัด บริษัทจึงอาจต้องพิจารณาอนุมัติคำขอของท่านเป็นรายกรณี

8. รายละเอียดการติดต่อบริษัท

หากท่านมีความประสงค์ที่จะใช้สิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือต้องการสอบถามหรือร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้นโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ โปรดติดต่อบริษัทผ่านช่องทาง pdpa@visionventures.co.th